แคปพาโดเชีย นครใต้ดิน
เมื่อคืนมาถึงที่พักตอนดึกจึงมองไม่เห็นสภาพภายนอกของที่พักเลย ตื่นเช้ามาก็เห็นบอลลูนกำลังขึ้นตรงใกล้ที่พักเลย เพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ แคปพาโดเชีย หรือ คัปปาโดเกีย โดยไกด์แนะนำให้ขึ้นบอลลูน แต่จะต้องเสียเงินเพิ่มประมาณ 200us เลยไม่ได้ขึ้นครับ เช้ามาปรากฎว่าโดยรอบเป็นสถานที่ขึ้นบอลลูนหลายสิบลูก ซึ่งสวยมาก ไม่ต้องขึ้นบอลลูกก็สวยครับแบบชอบถ่ายตัวเองในระนาบปกติ แต่ไกด์บอกว่าขึ้นบอลลูนก็สวยไปอีกแบบนะ ได้วิวมุมสูง สำหรับวันนี้เราจะนอนที่นี่ 2 คืนครับ จึงไม่ต้องเก็บสัมภาระ และตื่นสายได้นิดหน่อย ส่วนใครที่จะขึ้นบอลลูนก็ตื่นเช้าหน่อย วันนี้มีสถานที่เที่ยวในกำหนดการเยอะเลย
02/12/2560 เวลา 09.00 น.
เช้านี้เราออกเดินทางไม่ไกลมากครับชมจุดชมวิว หุบเขาอุซิซาร์ หุบเขาที่คล้ายจอมปลวกขนาดใหญ่ ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของคนสมัยก่อน ซึ่งหุบเขาดังกล่าวมีรูพรุน มีรอยเจาะ ทั่วทั่งภูเขา เพื่อเอาไว้เป็นที่อยู่อาศัย และที่นี่เป็นจุดสุงสุดของบริเวรโดยรอบ ทำให้สมัยก่อนหุบเขาอุซิซาร์ มีหน้าที่ไว้เป็นป้อมปราการทางธรรมชาติเอาไว้สอดส่องยามมีภัยอีกด้วย ที่นี่ไกด์ได้ซื้อไอครีมตรุกีให้เราด้วยซึ่งเป็นของแถมในรายการทัวร์ และผมเองได้ถ่ายรูปกับอูฐ ซึ่งเสียค่าถ่ายกับอูฐ 10 lira ประมาณ 100 บาท แต่เสียค่าโง่ไปอีก 10 lira เพราะให้อูฐเดินด้วยเสียเพิ่ม สรุปเสียไปทั้งหมด 20lira เบาเบาไป
02/12/2560 เวลา 09.30 น.
หลังเสร็จจากหุบเขาอุซิซาร์ เราก็เดินทางไปชมร้านจิเวอรี่ ตามนโยบายรัฐและหลังร้านจิวเวอร์รี่เป็น pigeon valley ที่เป็นหุบเขานกพิราบ ที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะที่นี่มีพิราบสื่อสารจำนวนมาก และมีรูปภาพสลักพิราบอยู่ในหิน เป็นจุดชมวิวที่สวยอีกที่หนึ่ง ซึ่งวันนี้เราเดินทางไม่ไกลนัก มีแต่ที่สวยๆ ชอบๆ อากาศวันนี้ 10-0 องศา หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อไปยัง เมืองเกอเรเม เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณคาพะโดเซียในตอนกลางของอานาโตเลียในประเทศตุรกี เกอเรเมเดิมชื่อ “Korama”, “Matiana”, “Maccan” และ “Avcilar” เมื่อหุบเขาเกอเรเมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนักได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ชื่อเมืองก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น “เกอเรเม” เพื่อความสะดวกในการเรียกชื่อ โดยเกอเรเมตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของผู้คนมาตั้งแต่สมัยโรมัน และเป็นที่ที่ชาวคริสเตียนยุคแรกใช้ในการเป็นที่หลบหนีภัยจากการไล่ทำร้ายและสังหารก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเป็นศาสนาที่ได้รับการประกาศว่าเป็นศาสนาของจักรวรรดิ ที่จะเห็นได้จากคริสต์ศาสนสถานจำนวนมากมายที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ และยังเป็นการป้องกันการรุกรานของชนเผ่าลัทธิอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาคริสต์ โดยที่นี่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายออโธดอกซ์ โดบนับถือภาพวาดด้วย นิกายนี้นะ ผมว่าสถาปัตยกรรม จิตกรรมฝาผนังถ้ำสวยดีและเก่าแก่ และไกด์บอกว่าเขาใช้ภูมิปัญญาวาดโดยใช้ขี้นกเป็นส่วนผสมในการวาด เสียดายเขาไม่ให้ถ่ายภายใน เลยได้แต่ถ่ายภายนอก
02/12/2560 เวลา 12.00 น.
เราเดินทางไปทานอาหารร้านสไตล์ถ้ำ เป็นอุโมงค์คือร้านโอเคนะกับการออกแบบ แต่มันรู้สึกอึดอัดสำหรับผมนะมันดูคับแคบและอึกอัด ไม่หนาวด้วย แต่อาหารยังเหมือนเดิม สงสัยจะผอมละงานนี้ ใครจะมากรุณาเตรียมอาหารจากไทยมาด้วยก็ดีนะ เผื่อทานไม่ได้ ถือว่ามากินบรรยากาศละกัน ไกด์บอกว่านี่ชอบทำบ้านให้เป็นคล้ายถ้ำ เพราะแถบนี้เขามีบ้านถ้ำเลยอยากทำบ้านให้เข้ากับเมือง
02/12/2560 เวลา 13.00 น.
เราออกเดินทางต่อไปยังนครใต้ดิน Underground City ซึ่งไกด์บอกใครเป็นโรคกลัวที่แคบไม่ต้องเข้านะครับ เพราะมันจะเป็นบ้านรูใต้ดินของคนสมัยก่อนไว้หลบศัตรู ดินแถวนั้นขุดง่ายเพราะเป็นดินภูเขาไฟ ภานในบ้านรูใต้ดินนั้นแคบ แต่สามารถเดินเข้าได้แบบพอดีตัว แต่ถ้าล่ำมากก็จะลำบากนิดหนึ่ง เขาก็จะมีแต่ละห้องเรียงกันไป เช่น ห้องครัว ห้องเลี้ยงสัตว์ ห้องนั่งเล่น ฯลฯ และช่องลับหนีศัตรู แบบว่าเป็นห้องปกตินะ ไม่ได้น่าค้นหาอะไรมากมาย หลังจากนั้นก็ไปโรงงานทอพรม ซึ่งเป็นของรัฐบาลตามปกติทัวร์ ราคาก็หลักหมื่นไปถึงแสน คนมีรายได้อย่างผมซึ่งไม่ได้ครับ
02/12/2560 เวลา 15.30 น.
เราก็เดินทางกลับที่พักและพักผ่อนตามอัศยาศัย โดยที่พักใกล้ศูนย์กลางของเมืองก็เลยเดินไปไม่เกิน 500 เมตรก็ถึงละ ซื้อของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้าน ผมไม่ได้เดินหาร้านอาหารเลยเพราะอาหารเหมือนกับโรงแรมที่พัก มัวเดินหาของฝากและของตกแต่งบ้านก็หมดเวลาละครับ ยิ่งเย็นที่นี่ยิ่งหนาวและมืดมาก ไกด์ได้นัดทานอาหารเย็นเวลา 19.00 น. แค่ตักมาน้ำตาก็ไหล 555 กินยากมาก ต้องใช้มาม่าของไกด์ช่วย กินย้อมใจกะเบียร์ นอนหลับสบาย เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางยาวกลับอิสตันบูล วันนี้ลาไปก่อนครับ แล้วจะมารีวิวต่อ บัย